บทที่ 5 ไฟฟ้าสถิต
บทที่ 5 ไฟฟ้าสถิต
ไฟฟ้าสถิต ( Electrostatics ) เป็นแขนงวิชาไฟฟ้าที่กล่าวถึงวิชาไฟฟ้าที่ปรากฏนิ่งอยู่กับที่
การเกิดฟ้าแลบ ฟ้าผ่า และได้ยินเสียงฟ้าร้อง เป็นปรากฏการณ์เกี่ยวกับการถ่ายเทของประจุไฟฟ้า
ประจุไฟฟ้าสามารถทำให้เกิดประกายไฟฟ้าได้
เบนจามิน แฟรงคลิน เป็นผู้พิสูจน์โดยใช้ว่าวเป็นเครื่องทดลองว่า มีประจุไฟฟ้าในเมฆ และฟ้าผ่า
คือการถ่ายเทประจุไฟฟ้าเช่นเคียวกันกับการเกิดประกายไฟฟ้าและเบนจามิน เป็นผู้เริ่มทสายล่อฟ้า
ไฟฟ้าสถิต
1. ความหมาย
1.1. เป็นปรากฏการณ์ที่นำวัตถุมาทำการขัดสี หรือถู หรือเหนี่ยวนำกัน ทำให้วัตถุหนึ่งการสูญเสียอิเล็กตรอน ซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายอิเล็กตรอน วัตถุที่สูญเสียอิเล็กตรอน จะมีประลบน้อยลง ทำให้แสดงอำนาจทางไฟฟ้าบวก ส่วนวัตถุที่ได้รับอิเล็กตรอน จะทำให้มีประจุลบมากขึ้น ทำให้แสดงอำนาจทางไฟฟ้าลบ
2. ประจุไฟฟ้า
2.1. ชนิดของประจุ
2.1.1. ประจุบวก : เกิดบนแท่งแก้ว เมื่อถูด้วยผ้าไหม
2.1.2. ประจุลบ : เกิดบนแท่งอำพัน เมื่อถูด้วยผ้าขนสัตว์
2.2. แรงกระทำที่เกิดระหว่างประจุ
2.2.1. แรงดึงดูดกัน : ประจุต่างชนิดกัน
2.2.2. แรงผลักกัน : ประจุชนิดเดียวกัน
2.3. วัตถุประกอบด้วยอะตอมจำนวนมาก แต่ละอะตอมมีนิวเคลียส ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าบวก เรียกว่า โปรตอน อนุภาคที่เป็นกลางทางไฟฟ้า เรียกว่า นิวตรอน และบริเวณภายนอกนิวเคลียสมีอนุภาคที่มีประจุลบ เรียกว่า อิเล็กตรอน
3. กฏการอนุรักษ์ประจุไฟฟ้า
3.1. อะตอมที่เป็นกลางทางไฟฟ้าเมื่ออะตอมสูญเสียอิเล็กตรรอนไปจะกลายเป็นอะตอมที่มีประจุบวก ส่วนอะตอมที่ไดัรับอิเล็กตรอนเพิ่มขึ้นจักลายเป็นอะตอมที่มีประจุลบ โดยผลรวมของจำนวนประจุทั้งหมดของระบบที่พิจารณายังคงเท่าเดิม
4. ตัวนำและฉนวนไฟฟ้า
4.1. ตัวนำไฟฟ้า คือ วัตถุที่ยอมให้ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ไปได้สะดวกตลอดเนื้อวัตถุโดยง่าย เช่น โลหะต่างๆ เบสและเกลือ เป็นต้น
4.2. ฉนวนไฟฟ้า คือ วัตถุที่ไม่ยอมให้ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ไปได้สะดวกหรือไม่ยอมให้ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ผ่านไปได้ เช่น ยาง กระเบื้องเคลือบ แก้ว เป็นต้น
5. การทำให้วัตถุตัวนำเกิดไฟฟ้า
5.1. การขัดถู
5.1.1. การถูแก้วด้วยผ้าไหม
5.1.2. การถูแท่งอำพันด้วยผ้าขนสัตว์
5.2. การสัมผัส (แตะ)
5.2.1. การนำวัตถุที่มีประจุอิสระอยู่แล้วมาสัมผัสกับวัตถุที่เดิมเป็นกลาง จะทำให้วัตถุที่เป็นกลางนี้มีประจุไฟฟ้าอิสระ
5.2.2. เงื่อนไข
5.2.2.1. ประจุไฟฟ้าอิสระที่ตัวนำได้รับ จะเป็นประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันกับชนิดของประจุไฟฟ้าบนตัวนำที่นำมาสัมผัสเสมอ
5.2.2.2. การถ่ายเทประจุเป็นการถ่ายเทอิเล็กตรอนเท่านั้นและการถ่ายเทจะสิ้นสุดเมื่อศักย์ไฟฟ้า (ระดับไฟฟ้า) บนวัตถุที่แตะกันมีค่าเท่ากัน
5.2.2.3. ประจุไฟฟ้าอิสระบนตัวนำทั้งสองที่มาแตะกัน ภายหลังการแตะจะมีจำนวนเท่ากันหรืออาจไม่เท่ากันก็ได้ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับความจุไฟฟ้าของตัวนำทั้งสอง
5.2.2.4. ประจุไฟฟ้ารวมทั้งหมดบนตัวนำทั้งสองภายหลังการแตะจะมีจำนวนเท่ากับประจุไฟฟ้าทั้งหมดก่อนแตะกัน
5.3. การเหนี่ยวนำไฟฟ้า
5.3.1. การนำวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าเข้าไปใกล้วัตถุที่เป็นตัวนำไฟฟ้าจะทำให้เกิดประจุชนิดตรงกันข้ามบนตัวนำที่อยู่ใกล้วัตถุ
6. อิเล็กโทรสโคป
6.1. แบบลูกพิท
6.1.1. ลูกกลม ทำด้วยโฟมฉาบด้วยโลหะ ตัวลูกกลมแขวนด้วยเส้นด้ายเล็กๆ
6.2. แบบแผ่นโลหะ
6.2.1. แกนโลหะด้านในเชื่อมติดกับจานโลหะชนิดเดียวกันกับปลาย ล่างแท่งโลหะมีแผ่นโลหะบางๆติดไว้
7. สนามไฟฟ้า
7.1. แรงที่กระทำต่อประจุบวกขนาดหนึ่งหน่วยซึ่งวางไว้ตำแหน่งใดๆ คือสนามไฟฟ้า ณ ตำแหน่งนั้น
7.2. เส้นสนามไฟฟ้า
7.2.1. เพื่อแสดงทิศทางของสนามไฟฟ้าในบริเวณรอบๆจุดประจุ
8. ศักย์ไฟฟ้า
8.1. พลังงานศักย์ต่อประจุหนึ่งหน่วย
9. ตัวเก็บประจุและความจุไฟฟ้า
9.1. สัญลักษณ์
9.1.1. เป็นรูปขีดยาวสองขีดขนานกัน
10. การนำไปใช้ประโยชน์
10.1. เครื่องถ่ายเอกสาร
10.2. เครื่องพ่นสี
10.3. ไมโครโฟนแบบตัวเก็บประจุ
ประจุไฟฟ้า (Charge)
ประจุไฟฟ้าเป็นปริมาณทางไฟฟ้าปริมาณหนึ่งที่กำหนดขึ้นธรรมชาติ ของสสารจะประกอบด้วยหน่วยย่อยๆ ที่มีลักษณะและ มีสมบัติเหมือนกันที่เรียกว่า อะตอม(atom)ภายในอะตอม จะประกอบด้วยอนุภาคมูลฐาน3ชนิดได้แก่ โปรตอน (proton) นิวตรอน (neutron) และ อิเล็กตรอน (electron)โดยที่โปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวกกับนิวตรอนที่เป็นกลางทางไฟฟ้ารวมกันอยู่เป็นแกนกลางเรียกว่านิวเคลียส (nucleus) ส่วนอิเล็กตรอน มี ประจุ ไฟฟ้าลบ จะอยู่รอบๆนิวเคลียส
ตามปกติวัตถุจะมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า กล่าวคือจะมีประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ เท่ากัน เนื่องจากในแต่ละอะตอมจะมีจำนวนอนุภาคโปรตอนและอนุภาคอิเล็กตรอนเท่ากัน เป็นไปตามกฏการอนุรักษ์ประจุ ( Law of Conservation of Charge ) เมื่อนำวัตถุสองชนิดมาถูกันจะเกิดการถ่ายเทประจุระหว่างวัตถุทั้งสองชนิดทำให้วัตถุหนึ่งมีปริมาณประจุบวกมากกว่าประจุลบ จึงมีประจุสุทธิเป็นบวก และวัตถุอีกอันหนึ่งมีปริมาณ ประจุลบมากกว่าประจุบวก จึงมีประจุสุทธิเป็นลบ เราสามารถวัดค่าไฟฟ้าสถิตได้โดยใช้ Static Field Meter โดยหน่วยที่วัดคือ โวลท์
ประจุไฟฟ้าเป็นปริมาณทางไฟฟ้าปริมาณหนึ่งที่กำหนดขึ้นธรรมชาติ ของสสารจะประกอบด้วยหน่วยย่อยๆ ที่มีลักษณะและ มีสมบัติเหมือนกันที่เรียกว่า อะตอม(atom)ภายในอะตอม จะประกอบด้วยอนุภาคมูลฐาน3ชนิดได้แก่ โปรตอน (proton) นิวตรอน (neutron) และ อิเล็กตรอน (electron)โดยที่โปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวกกับนิวตรอนที่เป็นกลางทางไฟฟ้ารวมกันอยู่เป็นแกนกลางเรียกว่านิวเคลียส (nucleus) ส่วนอิเล็กตรอน มี ประจุ ไฟฟ้าลบ จะอยู่รอบๆนิวเคลียส
ตามปกติวัตถุจะมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า กล่าวคือจะมีประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ เท่ากัน เนื่องจากในแต่ละอะตอมจะมีจำนวนอนุภาคโปรตอนและอนุภาคอิเล็กตรอนเท่ากัน เป็นไปตามกฏการอนุรักษ์ประจุ ( Law of Conservation of Charge ) เมื่อนำวัตถุสองชนิดมาถูกันจะเกิดการถ่ายเทประจุระหว่างวัตถุทั้งสองชนิดทำให้วัตถุหนึ่งมีปริมาณประจุบวกมากกว่าประจุลบ จึงมีประจุสุทธิเป็นบวก และวัตถุอีกอันหนึ่งมีปริมาณ ประจุลบมากกว่าประจุบวก จึงมีประจุสุทธิเป็นลบ เราสามารถวัดค่าไฟฟ้าสถิตได้โดยใช้ Static Field Meter โดยหน่วยที่วัดคือ โวลท์
การเกิดไฟฟ้าสถิต การที่ปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบบนผิววัสดุมีไม่เท่ากันทำให้เกิดแรงดึงดูดเมื่อวัตถุทั้ง 2 ชิ้นมีประจุต่างชนิดกันหรือเกิดแรงผลักกัน เมื่อวัสดุทั้ง 2 ชิ้นมีประจุชนิดเดียวกันเราสามารถสร้างไฟฟ้าสถิตโดยการนำผิวสัมผัสของวัสดุ 2 ชิ้นมาขัดสีกัน พลังงานที่เกิดจากการขัดสีกันทำให้ประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุจะเกิดการแลกเปลี่ยนกัน โดยจะเกิดกับวัสดุประเภทที่ไม่นำไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า ฉนวน ตัวอย่างเช่น ยาง,พลาสติก และแก้ว สำหรับวัสดุประเภทที่นำไฟฟ้านั้น โอกาสเกิดปรากฏการณ์ประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุไม่เท่ากันนั้นยาก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้
การถ่ายเทประจุไฟฟ้า (Electrostatic Discharge)
คือการถ่ายเทประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุ 2 ชนิดไม่เท่ากันตัวอย่างการเกิดไฟฟ้าสถิตและการถ่ายเทประจุไฟฟ้า
เมื่อเราใส่รองเท้าหนังแล้วเดินไปบนพื้นที่ปูด้วยขนสัตว์หรือพรม เมื่อเดินไปจับลูกบิดประตูจะมีความรู้สึกว่าถูกไฟช๊อต ที่เป็นเช่นนี้สามารถอธิบายได้ว่า เกิดประจุไฟฟ้าขึ้นจากการขัดสีของวัตถุ 2 ชนิด วัตถุใดสูญเสียอิเล็คตรอนไปจะมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก ส่วนวัตถุใดได้รับอิเล็คตรอนมาจะมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุที่มาขัดสีกัน ร่างกายของคนเราเป็นตัวกลางทางไฟฟ้าที่ดี เมื่อเราเดินผ่านพื้นที่ปูด้วยขนสัตว์หรือพรม รองเท้าหนังของเราจะขัดสีกับพื้นขนสัตว์หรือพรม ทำให้อิเล็คตรอนถ่ายเทจากรองเท้าหนังไปยังพื้นพรม เมื่อเราเดินไปเรื่อย ๆ อิเล็คตรอนจะถ่ายเทจากรองเท้าไปยังพื้นมากขึ้น จึงทำให้เรามีประจุไฟฟ้าเป็นบวกกระจายอยู่เต็มตัวเรา เมื่อเราไปจับลูกบิดประตู ซึ่งเป็นโลหะจะทำให้อิเล็คตรอนจากประตูถ่ายเทมายังตัวเรา ทำให้เรารู้สึกว่าคล้าย ๆ ถูกไฟช๊อต ในลักษณะเดียวกันถ้าเราใส่รองเท้ายาง รองเท้ายางจะรับอิเล็คตรอนจากผ้าขนสัตว์หรือพรมจะทำให้เรามีประจุไฟฟ้าเป็นลบ เมื่อเราเข้าไปใกล้และจะจับลูกบิดประตู จะทำให้อิเล็คตรอนถ่ายเทจากเราไปยังลูกบิดประตู เราจะมีความรู้สึกว่าคล้าย ๆ ถูกไฟช๊อต
ทำไมไฟฟ้าสถิตถึงเป็นปัญหา ในสภาพแวดล้อมในการทำงานของเรา ไฟฟ้าสถิตเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสนใจ นอกจากไฟฟ้าสถิตจะมีผลต่อคน เมื่อไปสัมผัสกับวัสดุประเภทตัวนำแล้ว ทำให้รู้สึกสะดุ้งเหมือนถูกไฟช็อตแล้ว ไฟฟ้าสถิตยังส่งผลต่อกระบวนการในการผลิตด้วย
ปัจจุบันชิ้นงานอิเลคทรอนิคส์นับวันจะมีขนาดเล็กลงและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น การมีวงจรไฟฟ้ามากมายในขนาดของชิ้นงานที่เล็กลง จะส่งผลให้ชิ้นงานยิ่งไวต่อไฟฟ้าสถิตไฟฟ้าสถิตจะถูกส่งจากคนงานในสายการผลิต เครื่องมือ และอุปกรณ์อื่นๆ ไปยังชิ้นงานอิเล็คทรอนิคส์ ซึ่งมีผลทำให้คุณสมบัติทางไฟฟ้าของชิ้นงานเหล่านั้นเปลี่ยนไป อาจจะเป็นการลดคุณภาพลงหรือทำลายชิ้นงาน มีการศึกษาและพบว่ามากกว่า 50% ของชิ้นงานที่เสียหายล้วนมีผลมาจากไฟฟ้าสถิต
ข้อควรปฏิบัติเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิต
เพื่อควบคุมไฟฟ้าสถิต มีแนวทางในการปฏิบัติดังนี้
1. ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์/เครื่องมืออิเล็คทรอนิคส์
ให้ทนต่อไฟฟ้าสถิต เท่าที่เป็นไปได้
2. ลดหรือขจัดเหตุในการเกิดไฟฟ้าสถิต มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา เช่น
-พื้น / วัสดปูพื้น
- ความชื้นของอากาศในห้อง
- เก้าอี้
- รองเท้า
- ชุดที่สวมใส่
- วิธีทำความสะอาด
3.สลายไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้น
วิธีการนี้คือการต่อสายดิน (Grounding) เป็นการถ่ายเทประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นให้มีศักดิ์เป็นศูนย์ (0) เท่ากับพื้นดิน เราสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิตได้โดยการให้พนักงานในสายการผลิตใช้ สายรัดข้อมือ (WristStrap)การใช้กระเบื้องยางปูพื้นชนิด Static Dissipative PVC หรือ Static Conductive PVC
ปัจจุบันชิ้นงานอิเลคทรอนิคส์นับวันจะมีขนาดเล็กลงและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น การมีวงจรไฟฟ้ามากมายในขนาดของชิ้นงานที่เล็กลง จะส่งผลให้ชิ้นงานยิ่งไวต่อไฟฟ้าสถิตไฟฟ้าสถิตจะถูกส่งจากคนงานในสายการผลิต เครื่องมือ และอุปกรณ์อื่นๆ ไปยังชิ้นงานอิเล็คทรอนิคส์ ซึ่งมีผลทำให้คุณสมบัติทางไฟฟ้าของชิ้นงานเหล่านั้นเปลี่ยนไป อาจจะเป็นการลดคุณภาพลงหรือทำลายชิ้นงาน มีการศึกษาและพบว่ามากกว่า 50% ของชิ้นงานที่เสียหายล้วนมีผลมาจากไฟฟ้าสถิต
ข้อควรปฏิบัติเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิต
เพื่อควบคุมไฟฟ้าสถิต มีแนวทางในการปฏิบัติดังนี้
1. ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์/เครื่องมืออิเล็คทรอนิคส์
ให้ทนต่อไฟฟ้าสถิต เท่าที่เป็นไปได้
2. ลดหรือขจัดเหตุในการเกิดไฟฟ้าสถิต มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา เช่น
-พื้น / วัสดปูพื้น
- ความชื้นของอากาศในห้อง
- เก้าอี้
- รองเท้า
- ชุดที่สวมใส่
- วิธีทำความสะอาด
3.สลายไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้น
วิธีการนี้คือการต่อสายดิน (Grounding) เป็นการถ่ายเทประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นให้มีศักดิ์เป็นศูนย์ (0) เท่ากับพื้นดิน เราสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิตได้โดยการให้พนักงานในสายการผลิตใช้ สายรัดข้อมือ (WristStrap)การใช้กระเบื้องยางปูพื้นชนิด Static Dissipative PVC หรือ Static Conductive PVC
กฎของคูลอมบ์
"แรงดูดหรือแรงผลักระหว่างประจุไฟฟ้าเป็นสัดส่วนโดยตรงกับผลคูณระหว่างประจุและเป็นสัดส่วนโดยผกผันกับกำลังสองของระยะ ทางระหว่างประจุนั้น"
สนามไฟฟ้า
สนามไฟฟ้า คือ บริเวณรอบ ๆ ประจุไฟฟ้าที่ประจุไฟฟ้าสามารถส่งอำนาจไปถึง ถ้า Q เป็นประจุ + จะได้รับแรงในทิศทางเดียวกับ สนามไฟฟ้า ถ้า Q เป็นประจุ - จะได้รับแรงในทิศตรงข้ามกับสนามไฟ ฟ้า
จุดสะเทิน คือ ตำแหน่งที่มีความเข้มของสนามไฟฟ้าเป็นศูนย์
จุดสะเทินจะอยู่ระหว่างประจุทั้งสอง หรือภาย
นอกของ ประจุทั้งสอง จะขึ้นอยู่กับประจุไฟฟ้าทั้งสองดังนี้1. ประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกัน จุดสะเทินจะอยู่ระหว่างประจุทั้งสอง และอยู่ใกล้ประจุไฟฟ้าที่มีแรงทางไฟฟ้าน้อย
2. ประจุไฟฟ้าต่างชนิดกัน จุดสะเทินจะอยู่ภายนอกของประจุทั้ง สอง และอยู่ใกล้ทางประจุไฟฟ้าที่มีแรงไฟฟ้าน้อย Q2 < Q1
ศักย์ไฟฟ้า
ศักย์ไฟฟ้า คือ ระดับไฟฟ้าที่มีอยู่ในวัตถุนั้น ๆ ประจุ
ลบจะเคลื่อนที่จากจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำไปยังศักย์ไฟฟ้าสูงส่วนประจุบวกจะเคลื่อนที่จากจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าสูงไปสู่จุด
ที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ
พลังงานศักย์ไฟฟ้า คือ พลังงานศักย์ต่อหนึ่งหน่วยประจุที่ใช้ในการเคลื่อนประจุไฟฟ้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุด
หนึ่งในสนามไฟฟ้า มีหน่วยเป็นจูล
พลังงานศักย์ไฟฟ้าที่ลด = พลังงานจลน์ที่เพิ่มขึ้น
หนึ่งในสนามไฟฟ้า มีหน่วยเป็นจูล
ความเร็วของประจุ
ประจุ +q เคลื่อนที่จากจุด A ไปยังจุด B พลังงานศักย์ไฟฟ้าจะ เปลี่ยนไปเป็นพลังงานจลน์พลังงานศักย์ไฟฟ้าที่ลด = พลังงานจลน์ที่เพิ่มขึ้น
ความประจุไฟฟ้า
ความจุไฟฟ้า หมายถึง ความสามารถในการกักเก็บ
ประจุของวัตถุ วัตถุที่สามารถรับประจุได้มากแต่ทำให้ศักย์
ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นน้อย แสดงว่า วัตถุนั้นมีความจุไฟฟ้ามาก
ความจุไฟฟ้าของวัตถุใด ๆ จะเป็นอัตราส่วนระหว่างประจุไฟฟ้ากับศักย์ไฟฟ้าของวัตถุนั้น
ความจุของวัตถุชนิดต่างๆ
1. ทรงกลม - ความจุจะแปรผันตามรัศมีของทรงกลม
ดังนั้นตัวนำทรงกลมใหญ่ จะมีความจุมากกว่าตัวนำทรง
กลมเล็ก
2. แผ่นโลหะที่ขนานกัน
การต่อตัวเก็บประจุ
1. แบบอนุกรม ประจุ Q แต่ละตัวจะเท่ากัน คือ
Qรวม = Q1 = Q2 = Q3
2. แบบขนาน ความต่างศักย์ระหว่างแต่ละตัวจะเท่ากันคือ
Vรวม = V1 = V2 = V3
ที่มา : https://sites.google.com/site/physicselectricity/fifasthit
https://www.google.com/search?q=%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B8%95&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0ahUKEwjR6Z7LybTdAhWIr48KHSo_Dd8Q_AUICigB&biw=1440&bih=794#imgrc=ew_Pyqn3JnI6QM:
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น